แปรงสีฟันไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี ทีมงานรีวิวของเราแนะนำว่า Oral-B Pro 1000 เป็นรุ่นที่ดีที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ และคุณอาจไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อรุ่นที่แพงกว่านี้ จากการทดสอบและเปรียบเทียบข้อมูลแปรงสีฟันไฟฟ้าที่มีวางขายในไทย
เราเชื่อว่า Oral-B Pro 1000 เป็นรุ่นที่คุ้มค่าที่สุด เพราะถึงแม้มันจะไม่มีฟังก์ขั้นสูงแบบรุ่นที่แพงกว่า แต่มันมาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่สำคัญที่สุดนั่นคือ การจับเวลา รวมถึงหัวแปรงที่หาซื้อเปลี่ยนได้ง่ายในราคาประหยัด อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดี-ข้อเสีย ของแปรงสีฟันไฟฟ้า ด้านล่างนี้
แปรงสีฟันไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ ประหยัดกว่าในระยะยาว
เช็คราคาบน Lazada เช็คราคาบน Shopeeหากคุณไม่อยากเสียเงินเกิน 2 พันบาท หรือไม่ชอบหัวแปรงแบบกลมของ Oral-B เราคิดว่าตัวเลือกที่ดีเป็นอันดับสอง คือ แปรงสีฟันไฟฟ้า Philip Elite+ ถึงแม้จะมีราคาหัวแปรงที่แพงกว่าอยู่พอสมควร
นอกจากนี้ ยังมี Oral-B Pro 500 และ Vitality ที่เป็นตัวเลือกในช่วงราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมในหัวข้อตัวเลือกอื่นด้านล่างนี้
ตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดเป็นอันดับสองด้วยเสียงที่เงียบกว่า
เช็คราคาบน Lazada รวมสินค้าลดราคาสารบัญ
แปรงสีฟันไฟฟ้าใช้ดีไหม
หนึ่งในข้อสงสัยเกี่ยวกับแปรงสีฟันไฟฟ้าสำหรับคนส่วนใหญ่ คือ มันใช้งานได้ดีจริงหรือไม่ ซึ่งเราสามารถยืนยันได้ว่ามีงานวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันว่า แปรงสีฟันไฟฟ้านั้นช่วยขจัดคราบพลักและลดโอกาสเป็นโรคเหงือกอักเสบได้ดีมากกว่าแปรงสีฟันตามปกติ
ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ แปรงสีฟันธรรมดานั้นก็มีประสิทธิภาพดีพอหากใช้อย่างถูกวิธี แต่คนส่วนใหญ่มักแปรงฟันไม่ถูกต้องใน 2 จุด ได้แก่ ปัญหาแปรงฟันไม่ทั่วถึง แปรงไม่ถูกวิธี และแปรงแต่ละจุดไม่นานพอ
แปรงสีฟันไฟฟ้านั้นออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประการแรกคือ หัวแปรงสีไฟฟันไฟฟ้านั้นทำงานโดยใช้การสั่น หมุน และขยับขึ้นลง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาที่หลายคนมักจะชอบแปรงฟันในทิศทางเดียว
นอกจากนี้ แปรงสีฟันไฟฟ้าที่ดี ยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นจับเวลาเพื่อให้เรารู้ว่าแปรงฟันได้ครบ 2 นาทีแล้วหรือยัง และแก้ปัญหาแปรงไม่นานพอ
ข้อเสียหลักของแปรงสีฟันฟ้า คือ ราคาที่แพงกว่าแปรงสีฟันธรรมดา และการเปลี่ยนหัวแพงใหม่ทุกๆ 3-6 เดือนก็มีราคาค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ แปรงสีฟันไฟฟ้ายังต้องอาศัยการดูแลมากกว่าแปรงทั่วไป เพราะด้ามแปรงนั้นกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อใช้เสร็จควรเช็ดให้แห้ง ไม่แช่ทิ้งไว้ในน้ำเป็นเวลานาน เพื่อรักษาอายุการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพปากและฟัน เราเชื่อว่าแปรงสีฟันไฟฟ้านั้นถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
นอกจากประสิทธิภาพที่สูงกว่าแปรงสีฟันธรรมดาแล้ว มันยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการแปรงฟันให้ครบ 2 นาที ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ดีต่อสุขภาพของคุณอย่างมากด้วย
- ไหมขัดฟัน ยี่ห้อไหนดี คู่มือเลือกซื้อ
- รีวิว สำลีเช็ดโทนเนอร์ ยี่ห้อไหนดีที่สุด
- เครื่องวัดความดัน ยี่ห้อไหนดี ข้อแนะนำวิธีเลือกซื้อ
แปรงสีฟันไฟฟ้า Oral-B Pro 1000
ถึงแม้จะมีราคาค่อนข้างสูงและหาซื้อค่อนข้างยากกว่าแปรงสีไฟฟ้าของ Oral-B รุ่นอื่น ๆ เราคิดว่าด้วยราคาราว 3 พันบาท และอายุรับประกันนาน 2 ปี Oral-B Pro 1000 ยังถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่
นอกจาก Oral-B Pro 1000 จะเป็นรุ่นที่ได้รับการรับรองโดยสมาคมทันตกรรมอเมริกัน (ADA) แล้วข้อดีที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ หัวแปรงของ Oral-B นั้นหาซื้อได้ง่ายและมีหลายรุ่นให้เลือกมากกว่ายี่ห้ออื่น
Oral-B Pro 1000 มาพร้อมกับหัวแปรงทรงกลม ที่หมุนด้วยความเร็ว 8,800 รอบ/นาที ซึ่งให้ความรู้สึกต่างจากการแปรงฟันปกติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้ในช่วงแรก โดยมีราคาประมาณ 200-300 บาทต่อหัว ซึ่งนับว่าถูกกว่ายี่ห้อคู่แข่งอีกด้วย และยังมีหลายรุ่นให้เลือกใช้ตามความต้องการของแต่ละคนได้อีกด้วย
ข้อดีของแปรงสีฟันไฟฟ้าของ Oral-B รุ่น Pro ทุกรุ่นคือหัวแปรงนั้นจะทั้งหมุนและขยับขึ้นลงในขณะเดียวกันโดยหัวแปรงของ Pro 1000 จะเคลื่อนที่ขึ้น-ลงด้วยอัตรา 40,000 ครั้ง/นาที เท่ากับรุ่นที่แพงกว่านี้ของ Oral-B ขณะที่รุ่นเล็กกว่าอย่าง Pro 500 จะอยู่ที่ 20,000 ครั้ง/นาที
หนึ่งในฟังก์ชั่นที่สำคัญที่สุดในความเห็นของเรา คือ การจับเวลาในการแปรงฟันเพื่อให้ครบ 2 นาที โดย การจับเวลาของ Pro 1000 นั้นยังแบ่งการจับเวลาออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 30 วินาที ซึ่งเมื่อถึงเวลาจะสั่นเตือนเพื่อให้เราย้ายไปแปรงฟันที่มุมอื่นในช่องปากจนครบ 2 นาที
Pro 1000 มีสองโหมดให้เลือกใช้ ได้แก่ โหมดทำความสะอาดประจำวัน (Daily Clean) และโหมดนวดเหงือก (Gum Care) ซึ่งโดยส่วนใหญ่เรามักจะใช้โหมดแรกเป็นหลัก
อีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่มาพร้อมกับแปรงรุ่นนี้ คือ การแจ้งเตือนแรงกดบนผิวฟัน โดยตัวแปรงจะสั่นเตือนเมื่อคุณใช้แรงกดมากเกินไป เพื่อป้องกันความเสียหายกับเหงือกและฟัน อย่างไรก็ตาม เราคิดว่ามันไม่ใช่ฟังก์ชั่นที่จำเป็นนัก และบางรีวิวยังบอกว่ามันต้องอาศัยแรงกดอย่างมากกว่าจะแจ้งเตือน
ในการใช้งานจริง สิ่งที่คุณจะได้จาก Pro 1000 นั้นแทบไม่ต่างจากรุ่นที่แพงกว่า อย่าง Pro 3000 และ Pro 5000 เพราะฟังก์ชั่นที่อื่น ๆ ที่คุณจะได้จากรุ่นที่แพงกว่านั้นเป็นฟังก์ชั่นที่เราคิดว่าไม่จำเป็น เช่น โหมดขัดฟันขาว เป็นต้น
Pro 1000 จะสามารถใช้งานได้ติดต่อกัน 5 วัน ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง (คำนวณจากการใช้งานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับคนที่วางแปรงไว้บนที่ชาร์จไฟเป็นประจำหลังจากใช้งาน
แปรงสีฟันไฟฟ้า Philips Sonicare Elite+
สำหรับคนที่ต้องการลองใช้แปรงสีฟันไฟฟ้าหรือไม่ต้องการเสียเงินมากจนเกินไป เราคิดว่า Philips Sonicare Elite+ เป็นแปรงสีฟันไฟฟ้าที่ราคาย่อมเยาว์และคุ้มค่าที่สุด
แม้จะมีหัวเปลี่ยนที่แพงกว่าและมีตัวเลือกน้อยกว่า Philips Sonicare Elite+ จะมีราคาเริ่มต้นถูกกว่า Pro 1000 และมีเสียงที่เบากว่าระหว่างการใช้งาน
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของแปรงสีฟันไฟฟ้าของ Philips รุ่นนี้ คือ อายุแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 10 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที) ซึ่งนานกว่า Pro 1000 มากพอสมควร และถึงแม้หลายคนอาจชาร์จแบตเตอรี่เป็นประจำอยู่แล้ว เราคิดว่าการที่มีแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นนั้นถือเป็นข้อดีในกรณีที่คุณอยากพกพาไปใช้นอกสถานที่
เช่นเดียวกับรุ่น Pro 1000 ฟังก์ชั่นการจับเวลาของ Sonicare Elite+ แบ่งการจับเวลาออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 30 วินาที ซึ่งเมื่อถึงเวลามันจะสั่นเตือนเพื่อให้เราย้ายไปแปรงฟันที่มุมอื่นในช่องปาก
Sonicare Elite+ ยังมีฟังก์ชั่นตรวจจับแรงกด ที่แม้เราจะมองว่าไม่สิ่งที่จำเป็นนัก มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะมีฟังก์ชั่นนี้ไว้ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่สำคัญของแปรงสีฟันไฟฟ้า Philips คือ หัวแปรงที่ทั้งราคาแพงกว่า (250-400 บาทต่อชิ้น เทียบกับของ Oral-B ที่ 150-300 บาท) และยังมีตัวเลือกให้น้อยกว่า Oral-B
แต่สำหรับคนที่ชอบหัวแปรงทรงดั้งเดิม เรายังคิดว่า Sonicare Elite+ เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด
ตัวเลือกอื่น
จากการสำรวจตลาดในไทย เราคิดว่าคุณควรเลือกระหว่าง Philips และ Oral-B เพราะเป็นสองยี่ห้อที่หาซื้อหัวแปรงได้ง่ายกว่ายี่ห้ออื่น ๆ อย่างชัดเจน นอกจากนี้คุณยังสามารถมั่นใจได้ว่าสามารถเคลมประกันเมื่อเกิดปัญหา
แปรงสีฟันที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกรุ่นหนึ่งของ Oral-B มีราคาถูกกว่ารุ่น Pro 1000 ที่เราแนะนำประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนข้อแตกต่างนั้นอยู่ที่มันที่ไม่มีการจับเวลาแบบแบ่งส่วน 30 วินาที ไม่มีเซ็นเซอร์แรงกด นอกจากนี้มันยังเลือกโหมดในการใช้งานได้เพียงสปีดเดียว ผู้ใช้งานหลายคนจึงมองว่ามันเหมาะกับคนที่ใช้แปรงสีฟันไฟฟ้าอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับ Pro 500 แปรงสีฟันไฟฟ้า Oral-B Vitality ไม่มีการจับเวลาแบบแบ่งส่วน 30 วินาทีและฟังก์ชั่นเสริมอื่น ๆ นอกจากนี้มันยังไม่มีการแสดงไฟระหว่างการชาร์จไฟจึงทำให้ไม่แน่ใจว่าชาร์จเต็มหรือยัง นอกจากนี้มัน อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาราว 1 พันต้น ๆ เราคิดว่ามันเป็นตัวเลือกราคาประหยัดที่ดีอีกรุ่นหนึ่ง
แปรงสีฟันไฟฟ้าของ Oral-B รุ่นนี้ เป็นอีกรุ่นที่เราคิดว่าใกล้เคียงกับรุ่นที่เราแนะนำอย่างมาก ด้วยราคาที่แพงกว่าประมาณ 1 พันบาท คุณจะได้หัวแปรงแถมมาด้วย 3 ชิ้น (Pro 1000 มีเพียง 1 ชิ้น) และฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่ถึงแม้เรามองว่าไม่จำเป็นแต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในราคาไม่มากนัก เราคิดว่าหากคุณต้องการอัพเกรดจากรุ่นที่เราแนะนำ Pro 3000 น่าจะเป็นรุ่นที่คุ้มค่าที่สุด ขณะที่ Pro 5000 นั้นค่อนข้างแพงเกินไปเมื่อเทียบกับฟังก์ชั่นที่ได้เพิ่มมา
ตัวเลือกที่เราแนะนำ
เพิ่มเราเป็นเพื่อน คลิกที่นี่
แนะนำดีลที่คุ้มที่สุด แจ้งเตือนเดือนละครั้ง