วิธีเลือกซื้อทีวี สำหรับปี 2022 ในยุคที่ Smart TV แทบทุกยี่ห้อมีราคาถูกลงมาก ทำให้เราสามารถหาทีวีคุณภาพดีได้ในราคาที่ประหยัด ขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่อะไรบ้างที่จำเป็นและอะไรที่ยังไม่ควรเสียเงินซื้อในตอนนี้ เพราะหลายคนคงทราบดีว่าเทคโนโลยีของโทรทัศน์ในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วแค่ไหน
แน่นอนว่าการเลือกซื้อทีวีมาใช้นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งานเป็นหลัก และสำหรับคนที่กำลังเลือกซื้อทีวีในปี 2565 ไม่ว่าจะเป็น Smart TV หรือ LED LCD หรือ OLED หรือ 4K ก็ตาม เรารวบรวมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ วิธีเลือกซื้อทีวี เพื่อให้คุณซื้อรุ่นที่มีขนาดและฟังก์ชั่นที่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงที่สุด
โดยสรุปแล้ว สำหรับคนที่ต้องการสมาร์ททีวีที่คุ้มค่าที่สุดในปี 2022 เราแนะนำให้เลือกซื้อทีวีที่รองรับความละเอียดแบบ 4K เพื่อการรับชม Netflix และบริการสตรีมมิ่งอื่นๆ ได้อย่างคุ้มค่า แต่ยังไม่จำเป็นต้องซื้อทีวี 8K ซึ่งตอนนี้ยังมีราคาสูงเกินไป
คลิกที่นี่ เพื่อดูทีวีทุกรุ่นจากร้านทางการของ Lazada
สารบัญ
8 ข้อที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อทีวี
ซื้อทีวีขนาดจอเท่าไหร่ดี
ขนาดของจอทีวีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องพิจารณาในการซื้อทีวีเครื่องใหม่ คุณควรคำนึงว่าที่ที่คุณนั่งดูทีวีนั้นห่างจากทีวีมากแค่ไหน ซึ่งกฎง่าย ๆ คือ คุณควรจะนั่งห่างจากทีวีเป็นระยะมากกว่าสามเท่าของความสูงของจอทีวี เช่น ทีวี 32 นิ้ว จะมีความสูงประมาณ 40 ซม. ดังนั้นควรจะมีระยะห่างทีวีประมาณ 120 ซม. เป็นอย่างน้อย
จากนั้นจึงเลือกจอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถวางได้อย่างเหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขนาด 43-65 นิ้วสำหรับวางในห้องนั่งเล่น โดยหากคุณดูทีวีและสามารถมองเห็นจุดพิกเซลได้ นั่นหมายความว่าคุณนั่งใกล้เกินไปหรือทีวีมีขนาดใหญ่เกินไป
ขนาดจอที่เหมาะสมยังขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่จะดูทีวีพร้อมกันด้วย เช่น ถ้าคุณดูทีวีพร้อมกันทั้งครอบครัวสี่คน คุณอาจต้องการทีวีขนาดใหญ่กว่าการดูคนเดียวเป็นหลักเพื่อให้ทุกคนสามารถได้ชมภาพได้อย่างสบายตา
อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าถ้าเป็นไปได้ คุณสามารถซื้อทีวีให้ใหญ่ไว้ก่อน เพราะเรายังไม่เคยเจอปัญหาว่าทีวีที่ซื้อมาขนาดใหญ่เกินไป ส่วนใหญ่จะเจอว่าจอเล็กเกินไปมากกว่า (ยกเว้นในกรณีที่ห้องของคุณขนาดเล็กมากๆ ก็ไม่ควรเลือกวางจอขนาด 65-75 นิ้ว)
ทั้งนี้ ทีวีขนาดยอดนิยมในปัจจุบันได้แก่ ขนาด 32 43 และ 55 นิ้ว ซึ่งเหมาะกับทั้งคอนโดและบ้านอาศัย เช็คราคาโปรโมชั่นทีวีแบ่งตามขนาดหน้าจอบน Lazada จากร้านค้าทางการ:
- เช็คราคาทีวี 32 นิ้ว ทุกยี่ห้อ
- เช็คราคาทีวี 43 นิ้ว ทุกยี่ห้อ
- เช็คราคาทีวี 55 นิ้ว ทุกยี่ห้อ
- เช็คราคาทีวี 65 นิ้ว ทุกยี่ห้อ
ความละเอียดทีวีเท่าไหร่ดี
เวลาเราพูดถึงความละเอียดของจอทีวีนั้นเรากำลังพูดถึงจำนวนของพิกเซลบนหน้าจอที่ใช้แสดงสีสันให้เราได้เห็น การที่จอภาพมีพิกเซลมากกว่า (หรือหนาแน่นกว่า) ย่อมหมายถึงความละเอียดและความคมชัดที่สูงกว่า ดังนั้นเราอาจพูดได้ง่าย ๆ ว่าค่าความละเอียดนั้นยิ่งสูงยิ่งดี
Full HD คือ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งถือได้ว่าเป็นความละเอียดมาตรฐานของทีวีส่วนใหญ่ทั่วโลก ก่อนที่จะมีเทคโนโลยีที่มีความละเอียดสูงกว่านั้นที่เรียกว่า Ultra HD หรือ 4K ซึ่งมีความหนาแน่นของพิกเซลมากกว่า Full HD ถึง 4 เท่า ด้วยความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล
– Full HD ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล
– 4K (UltraHD) ความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล
– 8K ความละเอียด 7680 x 4320 พิกเซล
ทีวี 4K นั้นจะให้ความคมชัดในรายละเอียดมากกว่า รวมถึงตัวหนังสือที่จะมีความคมชัดกว่า ที่สำคัญวิดีโอแบบ 4K นั้นสามารถรับชมได้ง่ายขึ้นและกำลังเป็นที่แพร่หลายกว่าแต่ก่อนมาก เช่น การรับชมผ่าน Netflix หรือ YouTube
ปัจจุบันมีความละเอียดแบบ 8K เพิ่มเข้ามาในทีวีรุ่นใหม่ ๆ บางรุ่น ซึ่งจะมีความละเอียดมากกว่า 4K ถึง 4 เท่า และแต่ปัจจุบันวิดีโอ 8K นั้นยังถือว่าหายากและยังไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายเงินจำนวนมากสำหรับทีวี 8K เหล่านี้ เราคิดว่าคุณควรรออีกสัก 1-2 ปี เพื่อให้ 8K กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่แพร่หลายกว่านี้ และทีวีแบบ 4K ก็เพียงพอต่อการใช้งานในปัจจุบันและ 3 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
- ซื้อทีวีใน Lazada ดีไหม ทำไมราคาถูกกว่าในห้าง
- ระยะห่างทีวี วิธีคำนวณสำหรับทีวี HD และ 4K ทุกขนาดนิ้ว
- Lazada ลดราคาวันไหน โปรโมชั่นลาซาด้า
เทคโนโลยี HDR ของทีวีคืออะไร
หากคุณต้องการสีสันที่มากกว่าทีวี 4K ทั่วไป คุณอาจเลือกรุ่นที่รองรับฟีเจอร์ HDR (high dynamic range) ซึ่งจะมาพร้อมชื่ออย่าง HDR10 หรือ 4K Premium และ Dolby Vision โดยทีวีเหล่านี้จะสามารถแสดงเฉดสีได้ในช่วงที่กว้างกว่าทีวี 4K ทั่วไป
นั่นรวมไปถึงความแตกต่างของส่วนที่สว่างและมืดของภาพ หรือ contrast ดังนั้นส่วนที่มืดก็จะสามารถมืดได้กว่าทีวี 4K ทั่วไป โดยที่ ภาพของเครื่องรุ่นที่รองรับ Dolby Vision นั้นแสดงผลได้ดีกว่า HDR10
มาตรฐาน HDR และ Dolby Vision เป็นเทคโนโลยีที่เป็นเหมือนการอัพเกรดต่อจากทีวี 4K เดิม ทั้งนี้ ทีวี Full HD (1080p) ปกติจะยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ ทั้งนี้มันยังถือเป็นมาตรฐานที่ยังไม่คงที่และอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตซึ่งเว็บไซต์ Display Ninja สรุปเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด
ทีวี 4K ที่เราคิดว่าเป็นตัวเลือกที่สุดในปัจจุบัน เช่นเดียวกับเว็บไซต์รีวิวหลายแห่งในต่างประเทศ (ขนาด 48-83 นิ้ว)
เช็คราคาบน Lazada เช็คราคาบน Shopeeค่า Refresh Rate เท่าไหร่ดี
Refresh rate คือ ค่าที่บ่งบอกอัตราความถี่ในการแสดงผลบนหน้าจอ โดยจะระบุไว้เป็นหน่วย Hertz (Hz) โดยจอที่มีค่า refresh rate อยู่ที่ 60 Hz จะแปลว่าภาพบนหน้าจอนั้นจะถูกปรับเปลี่ยน 60 ครั้งต่อ 1 วินาทีซึ่งแปลว่ามันสามารถแสดงผลสูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที (fps)
ยิ่งภาพถูกปรับเปลี่ยนบ่อยครั้งมากเท่าไหร่ในเวลาเท่าเดิม ก็จะยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวของภาพที่ได้นุ่มนวลและเรียบเนียนมากขึ้น ทั้งนี้ค่ refresh rate มาตรฐานเดิมนั้นอยู่ที่ 60 Hz แต่ปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายได้เพิ่มความถี่ขึ้นสองเท่าตัวเป็น 120 Hz ซึ่งเท่ากับสามารถแสดงผลได้สูงสุดถึง 120 เฟรมต่อวินาที
แต่เนื่องจากวิดีโอส่วนใหญ่ยังไม่มีภาพที่มีจำนวนเฟรมต่อ 1 วินาทีมากเกิน 60 เฟรมมากนัก ดังนั้นทีวีที่มี refresh rate สูง ๆ จะทำงานโดยแทรกภาพสีดำไว้ระหว่างเฟรมเพื่อหลอกตาของผู้ชม ขณะที่บางรุ่นอาจแทรกภาพที่แสดงความเคลื่อนไหวระหว่างเฟรมปัจจุบันและเฟรมถัดไป โดยในปัจจุบันทีวีรุ่นใหม่ ๆ บางรุ่นจะรองรับเทคโนโลยีที่ชื่อ High-Frame Rate (HFR) ซึ่งน่าจะเริ่มมีให้เห็นในการใช้งานจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น หากเป็นไปได้เราแนะนำให้คุณลงทุนซื้อรุ่นที่มี refresh rate มากกว่า 120 Hz ขึ้นไป เพื่อรองรับเทคโนโลยีดังกล่าว
ควรมีพอร์ต HDMI กี่พอร์ต
คุณอาจคิดว่าจำนวนพอร์ต HDMI นั้นไม่สำคัญแต่ในการใช้งานจริงคุณจะพบว่ามันถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว หากคุณต้องการใช้งานทั้ง ซาวด์บาร์, Apple TV, Play Station และอื่น ๆ การมีจำนวนพอร์ต HDMI ที่มากพอจะทำให้คุณไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เข้าออก
ทีวีรุ่นที่มีราคาถูกมักจะลดต้นทุนด้วยการลดจำนวนพอร์ตต่าง ๆ ลง เราคิดว่าคุณควรมองหาทีวีที่มีพอร์ต HDMI อย่างน้อย 3-4 พอร์ต นอกจากนี้ หากคุณเลือกลงทุนในทีวี 4K แล้ว คุณควรเลือกรุ่นที่รองรับ HDMI 2.0 ซึ่งจะรองรับอุปกรณ์ส่วนใหญ่ในอนาคต
ทีวียี่ห้อไหนใช้ง่ายและสะดวก
ทีวีส่วนใหญ่ที่วางขายในปัจจุบันนั้นเป็น Smart TV อยู่แล้ว กล่าวคือมันสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi และใช้บริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ เช่น Netflix หรือ YouTube ได้ในตัว หรือแม้แต่เล่นเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ (ซึ่งใช้งานไม่สะดวกอย่างยิ่ง!)
ต่างจากสมาร์ททีวีเมื่อ 2-3 ปีก่อน ทีวีรุ่นใหม่ ๆ มาพร้อมกับรูปแบบการใช้งานที่สะดวกกว่าเดิมมาก โดยบางยี่ห้อ เช่น LG, Samsung, Sony นั้นมาพร้อมกับปุ่มเลือกใช้งานแอปต่าง ๆ ที่ทำให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าคุณควรจะเลือกทีวีที่รองรับแอปที่คุณต้องการใช้งานในตัว เพราะนั่นแปลว่าคุณจะไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น Chromecast หรือ Android Box โดยไม่จำเป็น
นอกจากนี้ทีวี ราคาถูกบางรุ่นอาจเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้จริง แต่การใช้งานแอปต่าง ๆ นั้นยุ่งยากและไม่ลื่นไหล คุณอาจไม่ต้องกังวลมากนักถ้าเลือกซื้อยี่ห้อชั้นนำ แต่หากเป็นยี่ห้ออื่น ๆ คุณควรทดลองใช้งานดูว่ามันสามารถดูรายการผ่านแอปที่คุณต้องการได้หรือไม่
Contrast Ratio สำคัญไหม
Contrast Ratio เป็นค่าอัตราส่วนที่บอกถึงค่าความแตกต่างระหว่างส่วนที่สว่างที่สุดกับมืดที่สุด ซึ่งตามหลักการแล้ว ยิ่งค่านี้มากเท่าไหร่ ทีวีเครื่องนั้นก็จะสามารถแสดงเฉดสีและรายละเอียดได้ดีขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทีวีของแต่ละยี่ห้อมีการวัดที่แตกต่างกัน เราจึงไม่ควรนำตัวเลขมาเทียบกันเพื่อการตัดสินใจ
ในการเปรียบเทียบความคมชัดและสีสันของภาพ เราคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือการไปลองนั่งดูเครื่องจริงเปรียบเทียบกัน
ราคา
แน่นอนว่าราคาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อทีวีของหลายคน (โดยเฉพาะทีมงานของเรา) เราเชื่อว่าราคาที่เหมาะสมสำหรับสมาร์ททีวีขนาด 55 นิ้วที่มีคุณภาพดี น่าจะอยู่ที่ราว 13,000-20,000 บาท (สำหรับจอ LCD) และจะสูงหรือต่ำกว่านี้ตามขนาดจอ เช็คราคา
คำแนะนำของเรา คือ คุณควรรอจังหวะที่มีการจัดโปรโมชั่นลดราคา เพราะทีวีนั้นเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีโปรโมชั่นบ่อยมาก ๆ ดังนั้นหากคุณเจอรุ่นที่ถูกใจ ถ้าเป็นไปได้คุณควรรอสักพักเพื่อให้ได้ราคาที่ดีกว่า เมื่อมีการจัดรายการหรือมีรุ่นที่ใหม่กว่าออกมา
บทสรุป
ทีวีในสมัยนี้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นสมาร์ททีวีอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่ามันสามารถใช้งานแอปพลิเคชั่นและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อย่างไรก็ตาม บางรุ่นอาจใช้งานได้ง่ายกว่ารุ่นอื่น ทั้งนี้ความสะดวกในการใช้งานเป็นอะไรที่คุณควรลองใช้งานจริงก่อนตัดสินใจซื้อ
เราคิดว่าคุณควรเลือกซื้อทีวี 4K จากแบรนด์ชั้นนำ หากเป็นไปได้คุณควรเลือกทีวีที่รองรับเทคโนโลยี HDR และถ้ามีงบพอ คุณอาจเลือกจอทีวีแบบ OLED ซึ่งให้ความลึกของสีได้ดีกว่า จอ LED LCD แต่มันก็จะมีราคาแพงกว่าเช่นกัน
ในส่วนของค่า refresh rate คุณควรเลือกรุ่นที่มีค่า 120 Hz เป็นอย่างน้อย และควรเลือกทีวีที่มีจำนวนพอร์ต HDMI ยิ่งมากยิ่งดี เพราะจะช่วยให้คุณไม่ต้องสายถอดเข้า-ออกเมื่อใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ
เพิ่มเราเป็นเพื่อน คลิกที่นี่
แนะนำดีลที่คุ้มที่สุด แจ้งเตือนเดือนละครั้ง